คลังสินค้าทัณฑ์บน (Bonded Warehouse) คือ คลังสินค้าที่ได้รับอนุญาตจากกรมศุลกากร ให้เก็บสินค้า นำเข้าจากต่างประเทศ โดยยังไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าหรือภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในทันที ผู้ประกอบการสามารถนำสินค้าไปเก็บไว้ในคลังนี้ได้ก่อน แล้วค่อยชำระภาษีเมื่อมีการนำสินค้าออกไปจำหน่ายในประเทศ
ทำไมคลังสินค้าทัณฑ์บนถึงสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ?
ประโยชน์
|
รายละเอียด
|
เลื่อนการชำระภาษีนำเข้า
|
ช่วยให้ผู้ประกอบการไม่ต้องจ่ายภาษีนำเข้าทันทีเมื่อสินค้าเข้าประเทศ ทำให้มีสภาพคล่องทางการเงินดีขึ้น
|
ลดต้นทุนและความเสี่ยง
|
หากสินค้านั้นนำไปส่งออกต่อ (re-export) ไปยังต่างประเทศ ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าและ VAT ช่วยลดต้นทุนได้มาก
|
บริหารสต็อกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
|
สามารถเก็บสินค้าไว้ในคลังได้นานตามระยะเวลาที่อนุญาต ทำให้วางแผนการจัดจำหน่ายและผลิตได้ดีขึ้น
|
เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีการนำเข้า-ส่งออก
|
ผู้ประกอบการที่ต้องมีการนำเข้าสินค้าเพื่อนำไปประกอบหรือแปรรูปก่อนส่งออก จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากคลังสินค้าทัณฑ์บน
|
ขั้นตอนการขออนุญาตจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน (Bonded Warehouse)
ขั้นตอนที่ 1 : ตรวจสอบคุณสมบัติพื้นฐาน ก่อนยื่นขออนุญาต ผู้ประกอบการควรตรวจสอบว่า
มีสถานที่เก็บสินค้าที่มีความมั่นคง ปลอดภัย และตรวจสอบได้
มีระบบบริหารจัดการสินค้า เช่น ระบบบาร์โค้ด, กล้องวงจรปิด (CCTV), รายงานสต็อก
มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการใช้คลัง เช่น เก็บสินค้านำเข้าเพื่อรอส่งออก หรือใช้ประกอบการผลิต
ยังไม่ใช้สินค้านั้นในประเทศในระหว่างที่อยู่ในคลัง
ขั้นตอนที่ 2 : จัดเตรียมเอกสารสำหรับยื่นขออนุญาต เอกสารที่ต้องเตรียม ได้แก่
แบบคำขออนุญาตจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน (ตามแบบของกรมศุลกากร)
สำเนาหนังสือรับรองบริษัท + หนังสือบริคณห์สนธิ
แผนผังสถานที่ตั้งคลังสินค้า (แสดงตำแหน่ง จุดเข้า-ออก ระบบกล้องวงจรปิด)
รายละเอียดระบบควบคุมสินค้าและการรักษาความปลอดภัย
รายการสินค้าและประเภทสินค้าที่จะเก็บในคลัง
แบบประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (ถ้ามี)
สัญญาเช่าสถานที่ (ถ้าไม่ได้เป็นเจ้าของ)
ขั้นตอนที่ 3 : ยื่นคำขอที่กรมศุลกากร
ยื่นคำขอที่ สำนักงานศุลกากรพื้นที่ ที่คลังสินค้าตั้งอยู่
แนบเอกสารทั้งหมดเพื่อให้เจ้าหน้าที่พิจารณา
ขั้นตอนที่ 4 : เจ้าหน้าที่ตรวจสอบสถานที่
เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรจะเข้าตรวจสอบสถานที่จริง เพื่อตรวจดูความปลอดภัย ระบบบริหารสินค้า การควบคุมทางเข้า-ออก
ตรวจสอบว่าเป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายศุลกากรกำหนด
ขั้นตอนที่ 5 : ออกใบอนุญาต
หากสถานที่ผ่านเกณฑ์และเอกสารครบถ้วน จะได้รับ หนังสืออนุญาตจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บน
จากนั้น ผู้ประกอบการสามารถเริ่มดำเนินการนำสินค้าเข้าคลังได้ตามขั้นตอนศุลกากร
ขั้นตอนที่ 6 : การดำเนินงานภายหลังได้รับอนุญาต หลังจากเปิดดำเนินการคลังแล้ว ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติดังนี้
รายการ
|
รายละเอียด
|
แจ้งรายการนำเข้าสินค้า
|
ต้องแจ้งการศุลกากรทุกครั้งที่นำสินค้าเข้าคลัง
|
จัดทำบัญชีสินค้า (Stock Register)
|
แสดงจำนวนเข้า-ออก, คงเหลือ, วันที่, หมายเลขพัสดุ
|
ส่งรายงานรายเดือน/ไตรมาส
|
ตามที่กรมศุลกากรกำหนด
|
ตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่
|
เปิดให้ตรวจคลังสินค้าได้ตลอดเวลา
|
หมายเหตุเพิ่มเติม
ระยะเวลาการเก็บสินค้าในคลังทัณฑ์บน สูงสุด 2 ปี (ยกเว้นกรณีขอขยาย)
หากครบกำหนดแล้วไม่ดำเนินการ เช่น ไม่จ่ายภาษีหรือนำออก อาจถูกยึดและริบ
หากต้องการยกเลิกการดำเนินการ ต้องแจ้งกรมศุลกากรล่วงหน้าและจัดการสินค้าคงคลังให้เรียบร้อย
ประเภทของคลังสินค้าทัณฑ์บน (Bonded Warehouse)
ตัวอย่างการใช้งานในภาคธุรกิจ คลังสินค้าทัณฑ์บนแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลักษณะการใช้งานและวัตถุประสงค์ โดยกรมศุลกากรได้กำหนดไว้ชัดเจน ดังนี้
ประเภทคลังสินค้าทัณฑ์บน
|
วัตถุประสงค์
|
ลักษณะการใช้งาน
|
1. คลังเก็บรักษาทั่วไป (General)
|
เก็บสินค้านำเข้าเพื่อรอชำระอากรหรือส่งออกต่อ
|
ใช้เก็บสินค้าภายใต้การควบคุมศุลกากร ยังไม่ต้องชำระภาษีทันที
|
2. คลังเฉพาะราย (Private)
|
เก็บสินค้าของผู้ประกอบการรายเดียว
|
ใช้เฉพาะสินค้าของตนเอง ไม่ให้บริการแก่ผู้อื่น
|
3. คลังเพื่อการแปรรูป (Manufacturing)
|
เก็บวัตถุดิบนำเข้าเพื่อแปรรูปหรือผลิต
|
ผลิตสินค้าเพื่อนำกลับออกไปจำหน่ายในหรือต่างประเทศ
|
4. คลังเพื่อแสดงสินค้า (Exhibition)
|
เก็บสินค้านำเข้าเพื่อแสดงในงานนิทรรศการหรือกิจกรรมพาณิชย์
|
สินค้าจัดแสดงโดยไม่ต้องชำระภาษีล่วงหน้า
|
5. คลังเพื่อส่งออก (Export)
|
เก็บสินค้าที่ผลิตในประเทศเพื่อรอการส่งออก
|
ช่วยรวบรวมสินค้าเพื่อส่งออก โดยยังไม่ต้องดำเนินพิธีศุลกากรในทันที
|
6. คลังของรัฐ (Public)
|
ให้บริการเก็บสินค้านำเข้าภายใต้การควบคุมของรัฐ
|
ดำเนินการโดยรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ เช่น ท่าเรือ องค์การคลังสินค้า
|
คลังสินค้าทัณฑ์บนในแต่ละประเภทมีวัตถุประสงค์และรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกัน เพื่อรองรับความต้องการของภาคธุรกิจในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการนำเข้า การผลิต การส่งออก และการจัดแสดงสินค้า การเลือกใช้ประเภทคลังที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์และลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการได้อย่างมีนัยสำคัญ